วันพุธที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เรื่อง “การเลือกซื้อครีมกันแดด"

เรื่อง “การเลือกซื้อครีมกันแดด"

การป้องกันแสงแดดไม่ให้ทำลายผิวสวยๆ ของเราเป็นที่ทราบกันดีว่าแสงแดดมีรังสี อัลตร้าไวโอเลต หรือ รังสี UV แบ่งเป็น 3 ประเภท ยูวีเอ (UVA) , ยูวีบี (UVB) และยูวีซี (UVC) ซึ่งจะปลดปล่อยออกมามากที่สุดใน แต่ละวัน ช่วง 11.00-14.00 น. หากเราไม่ป้องกันผิวเราจากแสงแดดแล้ว ผลคือ ริ้วรอยก่อนวัยอันควรจาก UVA ,ผิวไหม้แดด หมองคล้ำจาก UVB และร้ายสุดคือมะเร้งผิวหนังจาก UVC ดังนั้น ครีมกันแดด (Sunscreen) เป็นทางออกที่ดีและง่ายที่สุดในการป้องกันแสงแดด แต่อาจยังมีข้อสงสัยใน

การเลือกซื้อนั้นว่าเราต้องพิจารณา อะไรบ้าง โดยทั่วไป ครีมกันแดด แบ้งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

ประเภทที่ 1 Chemical Sunscreen (ทางเคมี) ซึ่งจะมีส่วนประกอบของสารเคมีหลายชนิดทำหน้าที่ในการป้องกันแสงแดด มีข้อดีคือทาแล้วจะไม่ทำให้หน้ามัน แต่ข้อเสีย ทำให้เกิดการระคายเคืองได้มากในผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูง

ประเภทที่ 2 Physical Sunscreen (ทางกายภาพ) จะมีส่วนประกอบของสาร Titanium dioxide หรือ Zinc oxide มีคุณสมบัติสะท้องรังสี UVA และ UVB มีข้อด้อย คือ เมื่อทาบนผิวแล้ว หน้าจะดูขาวและมันมาก แต่มีข้อดี คือ จะดูดซึมสู่ผิวน้อยทำให้ไม่ระคายเคืองต่อผิว เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายหรือเด็ก

ในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์กันแดดนั้น เราต้องพิจารณาค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพของครีมกันแดด 2 ค่าได้แก่

1.SPF (Sun Protecting Factor) บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกันรังสี UVB สำหรับเมืองไทย เราควรเลือกที่ SPF 30 ขึ้นไป

2.PA (Protection Grade of UVA) บ่งบอกถึงความสามารถในการป้องกัน รับสี UVA ใช้เครื่องหมาย + เป็นตัวบอก โดยควรเลือกที่ระบุว่า PA++ ขึ้นไป

สรุป คือ ถ้ากลัวผิวคล้ำ ดำ ควรเลือกผลิตภัณฑ์กันแดดที่ SPF สูงๆ แต่ถ้ากลัว ริ้วรอยเหี่ยวย่น ก็ควนเลือกผลิตภัณฑ์ที่ PA + มากเช่นกัน (ปัจจุบันสูงสุด ++++)

 

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่อง "การบำรุงร่างกายก่อนมีบุตร" โดย เภสัชกร เอ๊กซ์

ตามปกติ การรับประทานอาหารที่ดี ครบ 5 หมู่ ก็เพียงพอต่อร่างกายแล้วในแต่ละวันสำหรับคนปกติทั่วไป แต่บางครั้งร่างกายคนเราก็มีความต้องการสารอาหารบางกลุ่มมากเป็นพิเศษเพื่อให้เหมาะสมกับภาวะของร่างกายในช่วงนั้นๆ โดยเฉพาะสตรีที่ว่าแผนที่จะมีบุตรก็จำเป็นที่จะต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงเตรียมร่างกายให้พร้อม ทั้งสำหรับตัวคุณแม่เองและลูกน้อยในครรภ์ด้วยสำหรับสารอาหารที่จะป็นสำหรับคุณแม่ในอนาคตก่อนตั้งครรภ์ มีหลายตัวที่สำคัญ ได้แก่
1.กรดโฟลิค มีหน้าที่ช่วยป้องกันภาวะผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นได้กับระบบประสาทของตัวอ่อน ได้แก่ สมอง และไขสันหลัง
2.ธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลัก ของเม็ดเลือดแดง ป้องกันภาวะซีด หรือโลหิตจาง และยังสนับสนุนให้พัฒนาการของลูกน้อยเป็นปกติสมบูรณ์
นอกจากนี้คุณแม่ที่ไม่ค่อยได้รับประทานอาหารจำพวกปลาทะเล สามารถทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพวกน้ำมันปลา (FISH OIL)เพิ่มได้ เนื่องจากน้ำมันปลาจะให้กรดไขมันไม่อิ่มตัว ประเภทโอเมก้า3 ซึ่งมีประโยชน์ในการเสริมสร้างเซลล์สมองของลูกน้อย แร่ธาตุพวกแคลเซียม และวิตามินดีก็สำคัญเช่นกัน เนื่องจากทารกในครรภ์จะมีการแบ่งตัว และสร้างกระดูกอย่างรวดเร็ว โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ที่เตรียมพร้อมสำหรับการมีบุตรสามารถหาซื้อได้ไม่ยากนักตามร้านยาทั่วไป
ในการเลือกซื้อควรจะต้องเลือกสูตรของวิตามินที่มีส่วนประกอบของ กรดโฟลิค แคลเซียม ธาตุเหล็ก วิตามินซี สังกะสี วิตามินบีและไอโอดีน เป็นส่วนประกอบ จึงจะพอเพียง สำหรับคุณผู้ชาย วิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ช่วยบำรุงอสุจิ (SPERM) ได้แก่ แร่ธาตุสังกะสี และวิตามินอีร่วมกับการออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรง รวมถึงต้องมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
สุดท้ายการรับประทานอาหารให้ครบถ้วนตามหลักโภชนาการถือเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุด แต่หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถปรึกษาแพทย์และเภสัชกรได้โดยตรง
ที่มา : เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

เรื่อง "ตรวจสุขภาพก่อนมีลูก" โดย พ.ญ. อัญญ์ชิศา ( กุมารเวช )

หลายคนคงมีความใฝ่ฝันตั้งแต่วัยเด็กแล้วถึงการมีครอบครัวที่มีสมบูรณ์แบบ มีความสุขอย่างในตอนท้ายของนิยายหลายๆเรื่อง แต่การจะได้มาซึ่งครอบครัวที่สมบูรณ์นั้นไม่ใช่จะหวังพึ่ง แต่ดวงชะตาเพียงอย่างเดียว เราเองสามารถกำหนดได้ด้วย หนึ่งในเรื่องที่สามารถเลือกกำหนดเองได้ คือ การตรวจเช็คสุขภาพร่างกายก่อนแต่งงานและการวางแผนในการมีบุตร ซี่งจะช่วยให้เรา รู้ทัน รู้ก่อน และวางแผนได้ถูกค่ะ แต่เราต้องเลือกให้เหมาะสมและไม่จ่ายเกินความจำเป็น    นะค่ะ

ปัจจุบันตามโรงพยาบาลชั้นนำจะมีการจัดแพ็คเกจสำหรับตรวจสุขภาพมากมายค่ะ แต่สำหรับการตรวจเพื่อจะแต่งงานและการมีบุตรในอนาคต คือ แพ็คเกจตรวจสุขภาพก่อนแต่งงาน ซึ่งหมอจะอธิบายแยกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1 กลุ่มโรคเลือด(และผลเลือดที่เป็นมาโดยพันธุกรรม) และ 2 กลุ่มโรคติดเชื้อ

กลุ่มที่1 กลุ่มโรคเลือดและผลเลือดที่เป็นมาโดยพันธุกรรม 
1.1 การตรวจหาความเข้ากันของกรุ๊ปเลือดและหมู่เลือด (ABO , Rh) 
1.2 ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (Complete Blood Count = CBC) เป็นตรวจหาความแข็งแรงโดยรวมของสุขภาพร่างกาย และความผิดปกติโดยกว้าง เช่น โลหิตจาง โรคติดเชื้อ 
1.3 ตรวจหาธาลัสซีเมีย (HbTyping) บางโรงพยาบาลอาจตรวจลึกถึงพันธุกรรมที่เรียกว่า AlphaThal-1 สาเหตุของโรคธาลัสซีเมีย ซึ่งอาจไม่จำเป็นต้องตรวจในเบื้องต้นหาก HbTyping มีค่าปกติ ก็จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้ส่วนหนึ่ง

กลุ่มที่2 การตรวจหาโรคติดเชื้อ ชื่อก็บอกแล้วค่ะว่ามีการติดเชื้อมา ดังนั้นจะมีที่ให้รักษาหายขาดได้และตรวจเพื่อวางแผนการดำเนินชีวิตคู่กันต่อไปค่ะ
2.1 การตรวจหาเชื้อ เอช ไอ วี (Anti-HIV) หรือการตรวจหาโรคเอดส์
2.2 การคัดกรองเพื่อหาเชื้อซิฟิลิซ (VDRL) หรือโรคซิฟิลิซ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ในบางโรงพยาบาลอาจมีการตรวจเพื่อหาเชื้อ T. Pallidum สาเหตุที่ก่อโรค ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัว คิดว่ายังไม่จำเป็นต้องตรวจในเบื้องต้น หากมีการตรวจพบเชื้อซิฟิลิซจึงค่อยตรวจต่อก็ได้ เพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายที่เกินความจำเป็น 
2.3 การตรวจหาโรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นตรวจหาภูมิคุ้มกันและการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg /AntiHBs) เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์หรือทางเลือดได้ แต่สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน
2.4 ตรวจหาภูมิคุ้มกันหัดเยอรมัน เฉพาะสำหรับสุภาพสตรีค่ะ คือการตรวจภูมิต้านทานที่เรียกว่า Rubella IgG หากมีค่ามากกว่า 10 mIU จะถือว่ามีภูมิคุ้มกันแล้ว แต่หากยังไม่มี แนะนำให้ฉีดวัคซีนซึ่งจำเป็นที่ต้องคุมกำเนิดด้วยหลังจากการฉีดวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เดือนค่ะ

โดยสรุปแล้ว สิ่งที่จำเป็นก็มีเท่านี้แหล่ะค่ะ ส่วนแพ็คเกจในโรงพยาบาลจะมีราคาประมาณ 3,000 - 5,000 บาท ลองมองหาเเพ็คเกจที่ ถูกใจ ถูกต้อง และก็ต้องถูกมาก ดูนะค่ะ

ที่มา : พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย

เรื่อง "ชุดตรวจการตกไข่" โดย เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

เรื่อง "ชุดตรวจการตกไข่" โดย เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

สำหรับผู้ที่วางแผนในการมีบุตรนั้น นอกเหนือจากการบำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้ว ยังมีเครื่องมือที่สามารถเพิ่มโอกาสให้สูงขึ้นได้อีก ได้แก่ ชุดตรวจการตกไข่ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ทดสอบหาวันที่มีการตกไข่โดยอาศัยหลักการการตรวจหาฮอร์โมน LH ซึ่งเป็นฮอร์โมนปกติของร่างกายที่มีผลทำให้ไข่ตก ปกติจะถูกหลั่งออกมาในปริมาณสูงช่วงวันที่ 12 - 14 ของรอบเดือน (นับจากวันที่มีประจำเดือนมาวันแรก) ซึ่งหากมีเพศสัมพันธ์โดยประมาณไม่เกิน 2 วัน หลังจากไข่ตกแล้ว โอกาสที่ไข่กับตัวอสุจิจะปฏิสนธิกันแล้วเจริญเป็นตัวอ่อนก็จะสูงขึ้นตาม โดยปกติ ชุดตรวจการตกไข่ 1 ชุด จะบรรจุอยู่ 5 Test หรือตรวจได้ 5 ครั้ง ให้ตรวจวันละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาประมาณบ่ายสองโมงจะดีที่สุด โดยตรวจติดต่อกันได้ทุกวัน เริ่มวันแรก คือ วันที่ 12 (นับจากวันที่มีประจำเดือนวันแรก) วันใดตรวจพบผลการตรวจเป็นบวก (ขึ้น 2 ขีด) หมายถึงวันนั้นมีไข่ตกออกมาแล้ว ก็สามารถที่จะวางแผนมีเพศสัมพันธ์กันได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อทำการตรวจตอนบ่ายสองโมงแล้ว จะต้องมีเพศสัมพันธ์ทันทีนะครับ จากที่กล่าวข้างต้น ว่าเมื่อมีไข่ตกมาแล้วยังมีเวลาอีก 2 วันในการปฏิสนธิได้ นอกจากนั้นการวางแผนเพื่อมีเพศสัมพันธ์โดยการใช้ชุดตรวจการตกไข่นี้ มักไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หากทั้งคุณผู้หญิงและคุณผู้ชายมีการวางแผนที่เคร่งครัดเกินไป  เนื่องจากทำให้คุณผู้ชายเกิดภาวะความเครียดในการที่จะมีเพศสัมพันธ์เพื่อการมีบุตรให้สำเร็จ จนทำให้ขั้นตอนต่างๆไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ตัวอสุจิก็จะไม่แข็งแรง โอกาสในการมีบุตรก็จะลดลงตามไปด้วย ดังนั้น ควรใช้อุปกรณ์นี้เป็นเพียง ตัวช่วยเท่านั้น และต้องไม่กดดันตัวเองมากเกินไป หรือคุณผู้หญิงอาจเป็นคนที่ตรวจหาและสร้างบรรยากาศก่อนก็น่าจะเป็นการช่วยทั้งคุณผู้ชายได้ดี ทำให้เพิ่มโอกาสในการมีบุตรได้สูงขึ้นตามต้องการด้วย 

ที่มา : เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

เรื่อง "กำหนดเพศของลูกได้จริงหรือ “ โดย พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย

เรื่อง "กำหนดเพศของลูกได้จริงหรือ “ โดย พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย

หมอขออธิบายเบื้องต้นเกี่ยวกับพันธุกรรมของลูกซะก่อนว่าปกติจะถูกกำหนดโดย ตัวอสุจิ (Sperm) ซึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมอยู่ 2 อย่าง ได้แก่ sperm Y และ sperm X โดยหากมีการปฏิสนธิกับไข่ซึ่ง มีลักษณะทางพันธุกรรม X เท่านั้น หากได้ XY จะได้ลูกเป็น "เพศชาย" แต่ถ้าเป็น XX จะได้ลูกเป็น "เพศหญิง" ซึ่งโดยธรรมชาติ ตัวอสุจิชาย (sperm Y) จะมีลักษณะ ตัวเล็ก วิ่งไว แต่ใจเสาะ ชอบสภาวะความเป็นด่างอ่อนๆ เรียกกันว่า "ชายดื้อด้าน" ส่วนตัวอสุจิหญิง (sperm X) จะอวบอั๋น วิ่งช้า แต่เธออึดนะค่ะ ชอบสภาวะความเป็นกรด อ่อนๆ เรียกว่า "หญิงเปรี้ยว" วันนี้หมอขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยโดยอิงกับหลักการเบื้องต้น เพื่อเป็นข้อปฏิบัติสำหรับการกำหนดเพศกัน ค่ะ
 
1. การปรับสภาพช่องคลอด หากต้องการได้ลูกเป็นชาย ต้องปรับให้ช่องคลอดมีความเป็นด่างอ่อนๆ ก่อนที่จะปฏิบัติกิจด้วยการสวนล้างช่องคลอดด้วย เบคกิ้งโซดาผสมน้ำ (อัตราส่วน 1-2 ช้อนชาต่อน้ำ 1 ลิตร) และหากต้องการลูกสาว ให้สวนล้างด้วยน้ำส้มสายชูผสมน้ำ (อัตราส่วน 1 ช้อนโต๊ะต่อน้ำ 1 ลิตร) เพื่อปรับสภาวะช่องคลอดให้เป็นกรดก่อน จะทำให้หญิงเปรี้ยวของเราวิ่งได้ฉิวเลยค่ะ

2. วันตกไข่ หากอยากได้ลูกชาย วันที่ไข่ตกของคุณแม่จะเป็นวันที่ช่องคลอดมีความเป็นด่างสูง หากมีการปฏิบัติกิจและถึงจุดสุดยอดไปพร้อมๆกัน ฝ่ายหญิงจะหลั่งสภาพความเป็นด่างออกมา ทำให้ตัวอสุจิชายวิ่งได้ฉิวเหมือนกันค่ะ โดย วันตกไข่ของฝ่ายหญิงจะตรงกับช่วงกลางของรอบเดือนหรือปะมาณวันที่ 12-14 นับจากที่มีประจำเดือนเป็นวันแรก (รอบเดือน = 28 วัน) แต่การนับวันเพื่อการปฏิบัติกิจเช่นนี้ ฝ่ายชายจะอาการเก็บกดเล็กน้อยซึ่งส่งผลให้สุขภาพของตัวอสุจิไม่แข็งแรงและทำ ให้โอกาสในการติดลูกลดน้อยลงไปได้

3. ท่วงท่า (อาจติดเรทอาร์เล็กน้อย) อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น ตัวอสุจิชาย จะวิ่งไว แต่ใจเสาะ เพราะฉะนั้น หากอยากได้ลูกชายก็ต้อง "ลึกสุดใจ" เพื่อย่นระยะทางให้กับชายดื้อด้านได้เปรียบหญิงเปรี้ยวในการวิ่งเข้าสู่เส้น ชัย นะค่ะ

4. อาหาร สำหรับผู้ที่อยากได้ลูกชาย ควรรับประทานอาหารที่มี โพแทสเซียม (พบมากใน ผลไม้รสเปรี้ยว ผักใบเขียว เมล็ดทานตะวัน มะเขือเทศ กล้วย) แลโซเดียม (ได้แก่ เกลือแกง กุ้ง ปู แครอท เนื้อตากแห้ง เบคอน) สำหรับผู้ที่อยากได้ลูกสาว ก็ควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีมากๆ ได้แก่ นม เนย ไอศครีม ช็อกโกแลต ไข่ และผักใบเขียวคราวหน้า มาอ่านต่อกับการกำหนดเพศด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์ซึ่งสามารถหวังผลได้แน่นอนค่ะ

ที่มา : พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย

เรื่อง "กำหนดเพศบุตรได้จริง" โดย พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย

เรื่อง "กำหนดเพศบุตรได้จริง" โดย พ.ญ. อัญญ์ชิศา วงศ์วีระนนท์ชัย


เมื่อทดลองวิธีทางธรรมชาติแล้วไม่สำเร็จบางคนลองจนเข้าข่ายผู้มีบุตรยากหรือไม่อายุก็เริ่มมากแล้ว ( ....กลัวลูกโตไม่ทัน) เอ๊ะ!! ผู้มีบุตรยากคือยังไง...?? ตัวเราเข้าข่ายหรือยัง วันนี้หมอขออธิบายง่ายๆนะค่
ภาวะผู้มีบุตรยาก หมายถึง การที่คู่สมรสนั้นไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ภายในระยะเวลา 1 ปี ทั้งที่ทำการบ้านสม่ำเสมอ โดยที่ไม่มีการคุมกำเนิดเลย 

 
ปัจจุบัน มีวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่ช่วยในการมีบุตรแถมบางวิธียังสามารถเลือกเพศได้ด้วยค่ะ


วิธีที่1 การฉีดเชื้อ ( IUI หรือ IntraUterine Insemination ) พูดง่ายๆ ก็คือการผสมเทียมนั่นเองค่ะมีขั้นตอนเริ่มจากการที่คุณแม่กินยากระตุ้นไข่ เมื่อถึงวันไข่ตก ให้คุณพ่อเก็บนำ้อสุจิมาทำกรรมวิธีในการคัดเลือกตัวอสุจิที่แข็งแรงรูปร่างดี ปริมาณมากพอ ฉีดเข้าไปในมดลูกของคุณแม่ในวันตกไข่นั้นเอง เพื่อช่วยให้อสุจิมีโอกาสพบไข่ได้ง่ายขึ้น โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ10-15% โอกาสได้เพศที่ต้องการประมาณ 60%


วิธีที่2 การทำเด็กหลอดแก้ว หรืออิ๊กซี่ ( ICSI หรือ IntraCytoplasmic Sperm Injection ) หมายถึง การเก็บไข่จากคุณแม่ แล้วนำมาผสมกับอสุจิของคุณพ่อ นำไปเพาะเลี้ยงตัวอ่อนให้มีการแบ่งตัวได้ 4 - 8 เซลล์ คือวันที่ 3 ของตัวอ่อน จากนั้นจะตัดแบ่งชิ้นส่วนจากตัวอ่อน เพื่อไปตรวจเพศ จากพันธุกรรม(หรือโครโมโซม) นั้นอีกครั้ง เรียกว่า การเลือกเพศโดยการวิเคราะห์ตัวอ่อน ( PGD หรือ Prenatal Genetic Diagnisis ) แล้วจึงค่อยนำตัวอ่อนนั้นใส่กลับไปในโพรงมดลูก วิธีนี้โอกาสตั้งครรภ์สำเร็จประมาณ 30-60% แต่หากตั้งครรภ์สำเร็จจะได้เพศที่ต้องการถึง100% เลยนะค่ะ
 

อัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์ นอกจากจะขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีและวิธีการแล้ว ความรัก ความเข้าใจ การให้กำลังใจซึ่งกันและกันก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งค่ะ
 

วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เรื่อง "ยาคุมกำเนิด" โดย เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

เรื่อง"ยาคุมกำเนิด"โดย เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์

ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral Contraceptive Pills) หรือ OCPs เป็นการคุมกำเนิดชั่วคราว แบบรายเดือน โดยมีตัวยาเป็นฮอร์โมนเพศชนิดสังเคราะห์ มี 2 ประเภท คือ


1. ชนิดฮอร์โมนเดี่ยว ซึ่งมีฮอร์โมนกลุ่มโปรเจสเต
อโรน เหมาะสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามใช้ ยาคุมชนิดฮอร์โมนผสม ผู้ที่แพ้ยากลุ่มเอสโตรเจน ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดและหัวใจ ผู้ที่สูบบุหรี่ หรือ ผู้ที่มีอายุมากกว่า 35 ปี และผู้ที่ให้นมบุตรอยู่

2. ชนิดฮอร์โมนผสม ซึ่งจะมีออร์โมน 2 ชนิดผสมกันอยู่ ประกอบด้วยฮอร์โมน 2 ชนิด ได้แก่ กลุ่มโปรเจสเตอโรน กับ กลุ่มเอสโตรเจน ซึ่งมีข้อดีกว่าชนิดฮอร์โมนเดี่ยว เพราะมีลักษณะคล้ายกับการสร้างฮอร์โมนเพศปกติของร่างกาย ทำให้ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดดีกว่า และ มีผลข้างเคียงน้อยกว่าอีกด้วย

โดยปกติ ยาเม็ดคุมกำเนิด มีกลไกในการป้องกันการตกไข่ดังนั้น ควรเริ่มทานเม็ดแรกของแผงในวันแรกของการมีประจำเดือน (ไม่เกินวันที่ 5) โดยรับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ไปเรื่อยๆทุกวันจนหมดแผง ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการรับประทานยานั้น ขึ้นกับสไตล์การใช้ชีวิตของแต่ละคน โดยมากนิยมทานตอนกลางคืน เนื่องจาก การรับประทานตอนเช้ามักเป็นช่วงเวลาเร่งรีบ มักจะลืมได้ และในทางปฏิบัติ คุณผู้หญิงมักมีความกังวลมากกว่าในช่วงกลางคืนว่าคุณผู้ชายอาจจะทำการบ้านได้ จึงเป็นการเตือนให้รับประทานอีกทางด้วย

#ทำอย่างไรเมื่อลืมรับประทานยาคุมฯ 

1. หากลืมทาน 1เม็ด โดยไม่เกินจากเวลาปกติ 12 ชั่วโมง สามารถรับประทานได้ทันที ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดนั้นยังเหมือนเดิม

2. หากลืมทาน 1 เม็ด แต่เกินจากเวลาปกติไปแล้ว 12 ชั่วโมง ให้รับประทานเม็ดนั้นพร้อมกับเม็ดถัดไปได้ หมายถึง รับประทานพร้อมกัน 2 เม็ดไปเลย แต่ต้องมีการคุมกำเนิดวิธีอื่นร่วมด้วย เช่นการใส่ถุงยางอนามัย ไปอีก 7 วัน

3. หากลืมทาน 2 เม็ด หรือ 2 วันติดต่อกัน ก็ให้ทาน วันละ 2 เม็ด ติดต่อกัน 2 วัน พร้อมกับให้คุมกำเนิดวิธีอืนร่วมด้วย ตัวอย่างเช่น หากลืมทาน วันจันทร์ กับ วันอังคาร ให้ทาน ครั้งละ 2 เม็ด ในวันพุธและวันพฤหัสบดี จากนั้นวันศุกร์ให้ทาน ครั้งละ 1 เม็ดไปอีกเหมือนเดิม

4. แต่หากลืมทาน 3 เม็ด หรือ 3 วันติดต่อกัน แนะนำให้ทิ้งแผงนั้นไป แล้วรอประจำเดือนมาก่อนค่อยเริ่มรับประทานแผงใหม่ ระหว่างนั้นให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดอื่นๆไปก่อน

หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเลือกซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดเพิ่มเติม ครั้งต่อไปสามารถติดตามวิธีการเลือกซื้อยาเม็ดคุมกำเนิดได้ รวมถึงประโยชน์อื่นๆของยาคุมฯด้วย

ที่มา : เภสัชกร จตุรงค์ ศรียุยงค์
 — ที่ Drug Square